ระบบเผยแพร่ผลงานวิชาการโรงพยาบาลราชวิถี
Rajavithi Hospital Library Publication
ประเภทบทความ | วันที่เผยแพร่ | เลขที่ | เรื่อง | ผู้นิพนธ์ | แผนก | บทคัดย่อ | ดาวน์โหลด | ภาษา |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
บทความเผยแพร่ | 17-Apr-24 | 2567/7 | Nutrition Monitoring in Intensive Care Unit | พัทธวุฒิ จันทูปมา, พบ. | งานศัลยศาสตร์ทั่วไป กลุ่มงานศัลยศาสตร์ | การเฝ้าสังเกตและติดตามภาวะโภชนาการในผู้ป่วยวิกฤตที่รักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการสารอาหาร ติดตามการตอบสนองต่อการให้โภชนบำบัด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเฝ้าระวังความผิดปกติของเกลือแร่และธาตุอาหารรอง กระบวนการติดตามแผนโภชนบำบัดประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การตรวจติดตามทางคลินิก การตรวจติดตามทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจติดตามการใช้พลังงานและองค์ประกอบร่างกาย นิพนธ์ฉบับนี้มีตัวอย่างผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสายให้อาหาร เช่น ภาวะท้องเสีย ซึ่งต้องมีการประเมินสาเหตุต่างๆ ทั้งจากการติดเชื้อ ผลข้างเคียงของยา และชนิดของอาหารที่ได้รับ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป การเฝ้าสังเกตและติดตามภาวะโภชนาการอย่างใกล้ชิดในผู้ป่วยวิกฤตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์การรักษา จึงจำเป็นต้องมีแนวทางที่ชัดเจนและทีมสหสาขาวิชาชีพร่วมกันดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม | Download | ไทย |
กรณีศึกษา | 27-Mar-24 | 2567/6 | การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดร่วมกับการฉายรังสีรักษา | ปิยนุช ปิยะบัณฑิตกุล, พย.บ. | กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยนอก | ภูมิหลัง: ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ที่มีการลุกลามแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย อาการของผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้นตามอวัยวะที่โรคลุกลามไปถึง ปัจจุบันนี้การรักษามะเร็งเต้านมที่ได้ผลดีที่สุดคือการผสมผสานกัน ระหว่างการผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัดและ/หรือฮอร์โมนบำบัดและยาที่รักษาแบบมุ่งเป้า ส่วนผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะต้นๆ อาจใช้วิธีการผ่าตัดอย่างเดียว หรือผ่าตัดร่วมกับการให้ยาต้านฮอร์โมน ขึ้นอยู่กับชนิดระยะของโรคและความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายได้รับการดูแลรักษาแบบองค์รวมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มพูนทักษะพยาบาลวิชาชีพให้สามารถปฏิบัติการพยาบาลแก่ผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ และเป็นแนวทางพัฒนาในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย วิธีการ: คัดเลือกผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดร่วมกับการฉายรังสีรักษาหนึ่งราย รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย ญาติ และเวชระเบียน แล้วนำข้อมูลมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโดยใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม บทบาทการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย แนวคิดและการจัดการผู้ป่วยเป็นรายกรณี วางแผนปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ผล: ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 61 ปี ได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดร่วมกับการฉายรังสีรักษา ผสานการดูแลแบบองค์รวมจนผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สรุป: พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นการรักษาจนกระทั่งเสียชีวิต รวมถึงส่งเสริมคุณภาพชีวิตของญาติผู้ดูแล โดยการติดตามให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจนสามารถปรับตัวต่อการสูญเสียได้ | Download | ไทย |
กรณีศึกษา | 27-Mar-24 | 2567/5 | การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เกิดภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่และมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ | โสภา คันธา, พย.บ. | กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยใน | ภูมิหลัง: โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง หากผู้ป่วยมีการจัดการตนเองไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลน้ำของเกลือแร่และมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เกิดภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่และมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ วิธีการ: คัดเลือกผู้ป่วยที่มารับบริการในแผนกผู้ป่วยใน รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย ญาติ และเวชระเบียน นำข้อมูลมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโดยใช้ การประเมินสุขภาพ แนวคิดการสนับสนุนจัดการตนเอง วางแผนปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ผล: ชายไทย อายุ 65 ปี ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย มีภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่และภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่โรงพยาบาลรัฐบาล สัปดาห์ละ 3 ครั้ง คือ วันจันทร์ พุธ และวันศุกร์ มาพบแพทย์ด้วยอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เมื่ออาการดีขึ้นกลับบ้านได้ สรุป: พยาบาลมีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการเข้าการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเกิดกับผู้ป่วย สามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง มีคุณภาพชีวิตที่ดี | Download | ไทย |
กรณีศึกษา | 26-Mar-24 | 2567/4 | การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะติดแน่น | อุษา บุญจันทร์, พย.ม. | กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยนอก | ภูมิหลัง: ภาวะรกเกาะติดแน่นเป็นภาวะที่อันตรายและคุกคามชีวิต สามารถทำให้เกิดการตกเลือดอย่างรุนแรงทั้งในระยะคลอดและหลังคลอด การล้วงรกหรือคลอดรกอาจทำให้มดลูกทะลุมีเลือดออกในช่องท้อง ก่อให้เกิดภาวะทุพพลภาพและมารดาเสียชีวิตได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะติดแน่น ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งเสริมการดูแลได้อย่างครอบคลุม วิธีการ: คัดเลือกหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะติดแน่น 1 ราย รวบรวมข้อมูลจาก ผู้ป่วย ญาติ เวชระเบียน ประเมินภาวะสุขภาพโดยใช้แบบแผนของโอเร็ม ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ นำข้อมูลมาตั้งข้อวินิจฉัย วางแผน และปฏิบัติการพยาบาล โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม ผล: หญิงตั้งครรภ์ อายุ 40 ปี มีภาวะรกเกาะติดแน่น หลังผ่าตัด Cesarean hysterectomy with left partial oophorectomy with bilateral salpingectomy หลังผ่าตัดไม่มีภาวะแทรกซ้อนทั้งมารดาและทารก ทารกดูดนมมารดาได้ดี แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านทั้งมารดาและทารก สรุป: พยาบาลผู้ดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะติดแน่นจะต้องใช้ความรู้ความชำนาญในการประเมินนำไปสู่การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผน และปฏิบัติการพยาบาล ซึ่งหากพยาบาลผู้ดูแลขาดความรู้ความสามารถ ขาดทักษะความชำนาญ ขาดการประเมินที่รวดเร็วก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ การตกเลือดหลังคลอด และหากมีการล้วงรกอาจทำให้มดลูกทะลุได้ | Download | ไทย |
กรณีศึกษา | 15-Mar-24 | 2567/3 | การพยาบาลผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่วที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจไมตรัลร่วมกับการมีภาวะติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ | พรทิพา ดีรื่น, พย.บ. | กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยใน | ภูมิหลัง: การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ ทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจรั่ว เพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะก้อนติดเชื้อแพร่กระจาย ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย นำมาสู่ความพิการ หรือเสียชีวิต การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจไมตรัล ที่มีภาวะติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ วิธีการ: คัดเลือกผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่วร่วมกับการมีภาวะติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ 1 ราย รวบรวมข้อมูล ผู้ป่วย ญาติ เวชระเบียน ประเมินภาวะสุขภาพ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ นำข้อมูลมาตั้งข้อวินิจฉัย วางแผน และปฏิบัติการพยาบาล โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม ผล: ชายไทยอายุ 26 ปี มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจมาพบแพทย์ด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตกจาก septic emboli เกิด ruptured mycotic aneurysm ได้รับการผ่าตัด craniotomy with blood clot removal and aneurysm incision ตรวจ echocardiography พบ severe mitral value regurgitation ได้รับการส่งตัวมาผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจไมตรัล หลังผ่าตัด ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน และรับประทานยาละลายลิ่มเลือดต่อเนื่อง สรุป: พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตนเองได้ถูกต้อง มีคุณภาพชีวิตที่ดี | Download | ไทย |
งานนิพนธ์ต้นฉบับ | 01-Dec-23 | 2557/1 | Nutrition and Clinical Outcomes in Critically Ill Surgical Patients in Rajavithi Hospital (ภาวะโภชนาการและผลลัพธ์ทางการรักษาของผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมในโรงพยาบาลราชวิถี) | พัทธวุฒิ จันทูปมา, พบ. | งานศัลยศาสตร์ทั่วไป กลุ่มงานศัลยศาสตร์ | ภูมิหลัง: ในปัจจุบันการประเมินภาวะโภชนาการในผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นการรักษาพื้นฐาน ทำให้ตรวจพบภาวะทุพโภชนาการในผู้ป่วยจำนวนมากซึ่งสัมพันธ์กับการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น ภาวะทุพโภชนาการยังสัมพันธ์กับ อัตราการเสียชีวิตรวมถึงอัตราการพิการหลังการผ่าตัดโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤต และการให้การรักษาด้วยโภชนบำบัดสามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ภาวะพิการ และ อัตราการเสียชีวิตได้ โดยในการศึกษานี้มีจุดประสงค์คือ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการ และ ผลลัพธ์ทางการรักษาของผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมในโรงพยาบาลราชวิถี การศึกษานี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการ ผลลัพธ์หลังจากผู้ป่วยได้รับโภชนบำบัด และ ผลลัพธ์ทางการรักษาของผู้ป่วยหลังผ่าตัดในหอผู้ป่วยศัลยกรรมโรงพยาบาลราชวิถี วิธีการ: เป็นการศึกษาแบบ retrospective cohort study เก็บข้อมูลตั้งแต่ สิงหาคม 2017 ถึง สิงหาคม 2020 ในผู้ป่วยวิกฤตทางศัลยกรรม โรงพยาบาลราชวิถี และ เก็บข้อมูลอัตราการเสียชีวิตที่ 30 วัน ถึง 30 กันยายน 2020 โดยข้อมูลได้จากบันทึกทางการแพทย์ ผล: ผู้ป่วยที่มีภาวะทุพโภชนาการ 246 ราย โดยแบบเป็น รุนแรง 22 ราย ปานกลาง 23 ราย มีผู้ป่วย 219 รายได้รับการดูแลทางโภชนบำบัด ผลการวิจัยพบว่า ไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดระหว่าง ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยโภชนบำบัด (p=0.268) แต่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอัตราการเสียชัวิตที่ 30 วัน (p-0.021) สรุป: ภาวะทุพโภชนาการพบได้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต และการรักษาด้วยโภชนบำบัดสามารถลดอัตราการเสียชีวิตที 30 วันได้อย่างมีนัยสำคัญ | Download | English |
งานนิพนธ์ต้นฉบับ | 01-Dec-23 | 2567/2 | ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ | ธนิดา หอมจีน, พย.ม., อัจฉรา นบนอบ, พย.ม., ลัดดาวัลย์ อ้นเมฆ, วท.ม., สุพรรษา ภูธนนันท์, พย.บ., รัชพร ด่านไพบูลย์ผล, พย.บ. | กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยใน | ภูมิหลัง: โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุข ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์และทีมสาธารณสุข เพื่อลดความเสี่ยงจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ 1) การควบคุมอาหาร 2) การรับประทานยา 3) ความรอบรู้ด้านการเข้าถึงข้อมูล และ 4) ความรอบรู้ด้านความเข้าใจ ผู้วิจัยจึงสนใจส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีทักษะการตัดสินใจ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นแนวทางในการส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย วิธีการ: วิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 15 คน และกลุ่มควบคุม 15 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลปกติ ผล: ภายหลังได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และค่าระดับน้ำตาลในเลือด ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) สรุป: การส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีการตัดสินใจด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด | Download | ไทย |
งานนิพนธ์ต้นฉบับ | 08-May-23 | 2566/1 | ผลการรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่ด้วยการผ่าตัดใส่หลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟต์ผ่านทางสายสวนโดยไม่อุดหลอดเลือดแดงใต้กระดูกไหปลาร้าซ้าย | กำพู ฟูเฟื่องมงคลกิจ, พบ. | งานศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก กลุ่มงานศัลยศาสตร์ | ภูมิหลัง: การรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่ด้วยการผ่าตัด thoracic endovascular repair สามารถลดอัตราตาย และภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุหรือผ่าตัดฉุกเฉิน การผ่าตัดดังกล่าวมีผลทำให้หลอดเลือด left subclavian artery ถูกอุดกลั้นจากหลอดเลือดเทียม จึงต้องต่อเส้นเลือดบายพาสเพื่อให้มีเลือดไปเลี้ยงแขน ซึ่งอาจทำให้เลือดไหลย้อนและเกิดภาวะแทรกซ้อนกับหลอดเลือดแดงใหญ่ที่มีพยาธิสภาพ ศัลยแพทย์บางท่านเลือกอุดหลอดเลือดดังกล่าวเพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต วิธีการ: ศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยโรงพยาบาลราชวิถี ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2550 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 ระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับการบายพาส (revascularization) และกลุ่มที่ไม่ได้บายพาส (non-revascularization) หลอดเลือด left subclavian artery ที่วางหลอดเลือดเทียมบริเวณ zone 1 และ 2 เก็บผลภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดและการรั่วของหลอดเลือดเทียม ผล: ผู้ป่วย 113 ราย ไม่ได้บาสพาย 62 ราย (54.9%) และได้รับการบายพาส 51 ราย (45.1%) ผู้ป่วยกลุ่มบายพาสมีโรคเบาหวานมากกว่า (23.5% vs. 9.7%, P=0.045) ผู้ป่วยกลุ่มบายพาสส่วนใหญ่วางหลอดเลือดเทียมอยู่ที่ Zone 1 (49%) ส่วนกลุ่มไม่บายพาสอยู่ที่ Zone 2 (72.6%) กลุ่มบายพาสจะพบการรั่วของหลอดเลือดเทียมชนิดที่ II สูงกว่า (23.5% vs. 8.1%, P=0.045) ซึ่งหายเองได้ มีเพียง 9.8% ต้องอุดตอของหลอดเลือด จากขนาดหลอดเลือดแดงที่ใหญ่ขึ้นใน 933.02±749.04 วัน ทั้งนี้ไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่ต่างกันของสองกลุ่ม เช่น ไขสันหลังขาดเลือด (P=0.889) หลอดเลือดสมองขาดเลือด (P=0.410) และการเสียชีวิต (P=0.584) สรุป: ผู้ป่วยที่ได้รับการทำบายพาสของเส้นเลือด left subclavian artery ในการผ่าตัดใส่หลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟต์ผ่านทางสายสวนมีอัตราการรั่วของหลอดเลือดชนิดที่ II สูงกว่า ซึ่งส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่มีเพียงร้อยละ 4.42 ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ ดังนั้นในการผ่าตัดอาจจะไม่จำเป็นต้องทำการอุดหลอดเลือด left subclavian artery ทุกราย แต่ให้ติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด | Download | ไทย |